งานวิจัย

ถอดรหัสปัญหาระบบสุขภาพ สู่การสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ ด้วย Public Health Pain-Points (PPP)

มีนาคม 17, 2025

ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทย โดยมีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบ ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

อย่างไรก็ตาม การมีภาระโรคและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพส่งผลต่อความยั่งยืนของระบบสุขภาพของประเทศ คณะผู้วิจัยจึงพัฒนา “เครื่องมือในการคัดเลือกและจัดลำดับความสำคัญในการพัฒนาและสนับสนุนนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์” เพื่อใช้จัดลำดับความสำคัญของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสุขภาพให้สอดคล้องความต้องการของระบบสาธารณสุข โดยวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยในปีพ.ศ. 2559 – พ.ศ. 2564 จากฐานข้อมูล สปสช. ซึ่งพิจารณาภาระค่าใช้จ่าย ภาระทางสุขภาพ และปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ การวิเคราะห์นี้ช่วยระบุโรคหรือพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นปัญหาวิกฤติของระบบสุขภาพไทย และสามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดทิศทางการพัฒนา หรือสนับสนุนต่อยอดนวัตกรรมที่มีศักยภาพ เพื่อแก้ไขและลดภาระของระบบสุขภาพของประเทศได้

วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล

คณะผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ภาระค่าใช้จ่ายบริการสาธารณสุข โดยอาศัยข้อมูลภาระโรครายกลุ่มโรค (ตารางที่ 1) ตาม Global Burden of Disease Study 2017 (GBD 2017) และจากสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ่โดยแปลงให้อยู่ในหน่วยปีสุขภาวะที่สูญเสียไป (Disability-Adjusted Life Years: DALYs) เพื่อแสดงให้เห็นช่องว่างทางสุขภาพ (health gap) ซึ่งคำนวณจากปีสุขภาวะที่สูญเสียจากการตายก่อนวัยอันควร (Years of Life Lost due to premature mortality: YLLs) รวมกับจำนวนปีสุขภาวะที่มีชีวิตอยู่กับความบกพร่องทางสุขภาพ (Years of Life Lost due to Disability: YLDs) จากรายงานภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย พ.ศ. 2562 ซึ่งจำแนกโรคตามรหัส International Classification of Diseases 10th Revision (ICD-10) นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังได้เปรียบเทียบรายการนวัตกรรมด้านสุขภาพในบัญชีนวัตกรรมตามรายกลุ่มโรค ทั้งนวัตกรรมที่เบิกจ่ายได้ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และนวัตกรรมที่ยังไม่ได้บรรจุในชุดสิทธิประโยชน์

ภาระค่าใช้จ่ายบริการสาธารณสุขของประเทศ ระหว่างปี พ.ศ. 2559 - พ.ศ. 2564 ตามปีสุขภาวะที่สูญเสียไป (DALYs)
รูปที่ 1 ภาระค่าใช้จ่ายบริการสาธารณสุขของประเทศ ระหว่างปี พ.ศ. 2559 - พ.ศ. 2564 ตามปีสุขภาวะที่สูญเสียไป (DALYs)

ภาระค่าใช้จ่ายบริการสาธารณสุขของประเทศโดยสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (แกนตั้ง) เปรียบเทียบกับภาระทางสุขภาพรายกลุ่มโรคหลัก (แกนนอน) และจำนวนนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมที่สามารถเบิกจ่ายได้ในระบบประกันสุขภาพภาครัฐ (ขนาดจุด) โดยกลุ่มโรคที่มีผลกระทบสูงทั้งด้านงบประมาณและภาระสุขภาพ สะท้อนถึงกลุ่มโรคที่ควรให้ความสำคัญ รวมถึงช่องว่างของระบบสุขภาพที่ควรได้รับการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน

ตารางที่ 1 กลุ่มโรคหลัก
อักษรย่อ (Abbreviation) กลุ่มโรค (Disease category)
A การติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (HIV/AIDS and sexually transmitted infections)
B การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ และวัณโรค (Respiratory infections and tuberculosis)
C การติดเชื้อในลำไส้ (Enteric infections)
D โรคเขตร้อนที่ถูกละเลยและมาลาเรีย (Neglected tropical diseases and malaria)
E กลุ่มโรคติดเชื้ออื่น ๆ (Other infectious diseases)
F ความผิดปกติของมารดาและทารกแรกเกิด (Maternal and neonatal disorders)
G ภาวะโภชนาการบกพร่อง (Nutritional deficiencies)
H โรคมะเร็งและเนื้องอก (Neoplasms)
I โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular diseases)
J โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง (Chronic respiratory diseases)
K ความผิดปกติทางระบบย่อยอาหาร (Digestive diseases)
L ความผิดปกติทางระบบประสาท (Neurological disorders)
M ความผิดปกติทางจิต (Mental disorders)
N ความผิดปกติที่เป็นผลจากการใช้สารเสพติด (Substance use disorders)
O โรคเบาหวานและโรคไต (Diabetes and kidney diseases)
P โรคผิวหนังและโรคใต้ผิวหนัง (Skin and subcutaneous diseases)
Q ความผิดปกติทางการรับรู้ (Sense organ diseases)
R ความผิดปกติทางกระดูกและกล้ามเนื้อ (Musculoskeletal disorders)
S โรคไม่ติดต่ออื่น ๆ (Other non-communicable diseases)

ข้อมูลปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้ (modifiable risk clusters) ใช้การประเมินค่าใช้จ่ายของโรคที่อิงตามความชุกของโรค (Prevalence-based Cost-of-Illness Approach) พิจารณาทั้งค่าใช้จ่ายโดยตรง (ค่ารักษาผู้ป่วยใน) และค่าใช้จ่ายทางอ้อม (การสูญเสียผลิตภาพจากการขาดงาน) ข้อมูลในปี พ.ศ. 2562 แบ่งปัจจัยเสี่ยงเป็น 3 กลุ่มตาม Global Burden of Disease 2019 (GBD 2019) ประกอบด้วย

  1. ปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม (Behavioral risks) ได้แก่ การใช้ยาสูบ ความเสี่ยงด้านโภชนาการ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเสพติด เพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย การมีกิจกรรมทางกายต่ำ การล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็กและการถูกกลั่นแกล้ง และความรุนแรงจากคู่รัก
  2. ปัจจัยเสี่ยงด้านเมตาบอลิก (Metabolic risks) ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ดัชนีมวลกายสูง ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูง ความผิดปกติของไต และคอเลสเตอรอลสูง
  3. ปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและการทำงาน (Environmental and occupational risks) ได้แก่ มลพิษทางอากาศ น้ำ การสุขาภิบาล และการล้างมือที่ไม่สะอาดเพียงพอ ความเสี่ยงจากการทำงานโดยตรง อุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม และความเสี่ยงอื่น ๆ จากสิ่งแวดล้อม

สัดส่วนประชากรที่สัมพันธ์กับโรค (Population Attributable Fraction: PAF) ที่ใช้ในการประมาณการภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากแต่ละปัจจัย แสดงสัดส่วนของการเกิดโรคที่อาจป้องกันได้หากกำจัดปัจจัยเสี่ยงนั้น ๆ โดยนำข้อมูลค่า PAF ที่จำเพาะตามอายุและเพศของประเทศไทยจาก Global Health Data Exchange GBD Results Tool ซึ่งใช้การจำแนกโรคตามรหัส ICD-10

จากนั้นนำข้อมูลภาระโรครายกลุ่มโรคและข้อมูลปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้มาวิเคราะห์ร่วมกับอัตราการเบิกจ่ายเฉลี่ยจากฐานข้อมูลเบิกจ่ายผู้ป่วยใน (e-claim) ปี พ.ศ. 2559 – พ.ศ. 2564 จากฐานข้อมูลของ สปสช.

ข้อค้นพบ
  • กลุ่มโรคสำคัญที่มีผลกระทบทั้งทางงบประมาณและทางสุขภาพสูง ได้แก่ กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงสุดและเป็นสาเหตุของการสูญเสียปีสุขภาวะมากที่สุด ตามมาด้วยกลุ่มโรคมะเร็งและเนื้องอก และกลุ่มโรคเบาหวานและโรคไต ตามลำดับ
  • ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขไดที่มีผลกระทบสูงสุด ได้แก่ การบริโภคยาสูบ การบริโภคเนื้อสัตว์สีแดง อาหารที่มีปริมาณเกลือหรือน้ำตาลสูง และการบริโภคแอลกอฮอล์
รูปที่ 2 ต้นทุนทางสุขภาพของปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้แบ่งตามกลุ่มโรค
  • การจัดลำดับความสำคัญของนวัตกรรม ควรมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนนวัตกรรมหรือมาตราการทางสแพทย์และสุขภานที่ส่งเสริมการป้องกัน การลดพฤติกรรมความเสี่ยงและการรักษาโรคที่เป็นภาระสูงของระบบสุขภาพเพื่อลดต้นทุนการรักษา เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย และลดความเสี่ยงของการเกิดโรค
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
  • หน่วยงานสนับสนุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์ แหล่งทุน และผู้ลงทุนควรมีนโยบายริเริ่มและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ที่ช่วยลดภาระโรคและค่าใช้จ่ายในการรักษา โดยให้ความสำคัญกับโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งและเนื้องอก รวมถึงโรคเบาหวานและโรคไต ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่ส่งผลกระทบสูงต่อระบบสุขภาพของประเทศไทย ทั้งในด้านภาระโรคและค่าใช้จ่ายของระบบหลักประกันสุขภาพ
  • การพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพควรดำเนินการบนพื้นฐานของการจัดลำดับความสำคัญตามความต้องการของระบบสาธารณสุข เพื่อให้สามารถเติมเต็มช่องว่างในการให้บริการทางการแพทย์และสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อระบบสุขภาพ
  • หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพัฒนานโยบายที่ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพอย่างเป็นระบบ ควบคุมปัจจัยเสี่ยง และสนับสนุนการดูแลสุขภาพประชาชน ซึ่งจะช่วยให้ระบบหลักประกันสุขภาพมีความยั่งยืนในระยะยาว

หมายเหตุ

การศึกษานี้ใช้เฉพาะข้อมูลจากฐานข้อมูลผู้ป่วยในจาก สปสช. ในปี พ.ศ. 2559 – 2564  ซึ่งยังไม่ครอบคลุมข้อมูลผู้ป่วยนอก ค่าใช้จ่ายจากระบบประกันสังคมและระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และสถานพยาบาลเอกชน รวมถึงไม่ได้พิจารณาบริบทในระดับภูมิภาค

สนับสนุนโดย

HSRI

นักวิจัย

Dr. Wang Yi
ผศ. ดร.หวัง อี้
ผู้อำนวยการร่วม
ซือ กั๋วหมิง
ผู้ช่วยวิจัย
นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์
ผู้อำนวยการร่วม